ในฐานะเจ้าของบ้าน หลายคนคงเคยมีคำถามว่า “อยากต่อเติมแค่เล็กน้อย จำเป็นต้องขออนุญาตไหม?”
บางคนแค่จะต่อครัวหลังบ้าน ปูกระเบื้องใหม่ หรือทำกันสาดกันฝน ก็กลัวจะเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว
บทความนี้พีระมิดจะช่วยสรุปเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า งานต่อเติมแบบไหนที่ทำได้เลยไม่ต้องขออนุญาต และแบบไหนที่ควรให้วิศวกรเข้ามาช่วยตรวจสอบก่อน เพื่อให้คุณปรับปรุงบ้านได้อย่างปลอดภัย ถูกต้อง และไม่ต้องปวดหัวภายหลัง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการต่อเติมบ้าน
จริงๆ แล้ว “กฎหมายควบคุมอาคาร” ไม่ได้ห้ามเจ้าของบ้านปรับปรุงหรือซ่อมแซมบ้านของตัวเองครับ เพียงแต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่กระทบโครงสร้างหลักหรือความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย โดยมีกฎหมายหลักๆ ที่ใช้เป็นเกณฑ์ คือ
กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2528)
ว่าด้วย “การกระทำที่ไม่ถือว่าเป็นการดัดแปลงอาขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่สนับสนุนสินค้าของทางร้านค่ะาร”
– ใช้อ้างอิงในการแยกแยะว่า งานไหนถือว่าเป็นแค่การซ่อมเล็กน้อย
– งานไหนต้องยื่นแบบ และขออนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
กฎกระทรวง ฉบับที่ 65 (พ.ศ. 2558)
ว่าด้วย “การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา”
– เพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไม่กระทบต่อโครงสร้าง และความปลอดภัยของอาคาร
พูดง่ายๆ คือ หากงานของคุณมีผลต่อโครงสร้างเสา คาน พื้น หรือหลังคา นั่นแปลว่าคุณกำลังเข้าใกล้ “งานดัดแปลงอาคาร” แล้วครับ
งานแบบไหน “ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร”
กฎหมายระบุไว้ชัดว่า งานต่อเติมบางประเภท ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต หากอยู่ในขอบเขตต่อไปนี้
1. เปลี่ยนวัสดุแต่ไม่เปลี่ยนชนิด
เช่น เปลี่ยนโครงสร้างไม้เก่าที่ผุพัง เป็นไม้ชนิดเดียวกัน หรือเปลี่ยนแผ่นกระเบื้องหลังคาที่รั่วซึมเป็นกระเบื้องแบบเดิม แต่ถ้าเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือเหล็ก ต้องขออนุญาตทุกกรณี เพราะถือว่าเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงโดยตรง
2. ปรับปรุงส่วนตกแต่ง ไม่กระทบโครงสร้างหลัก
เช่น ปูกระเบื้องใหม่ ทำฝ้าเพดาน ทาสีบ้าน หรือเปลี่ยนวัสดุปิดผิว (เช่น เปลี่ยนไม้เป็นกระเบื้องผิวเรียบ)
เงื่อนไขคือ น้ำหนักวัสดุใหม่ ต้องไม่เกิน 10% ของของเดิม เพราะถ้าเกิน จะมีผลต่อการรับน้ำหนักของโครงสร้าง
ตัวอย่าง :
พื้นบ้านเดิมเป็นไม้แต่เปลี่ยนเป็นปูกระเบื้องหินอ่อน น้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิน 10% แบบนี้ต้องให้วิศวกรช่วยคำนวณครับ
3. เปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงของส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง
เช่น ขยายช่องหน้าต่าง ปรับตำแหน่งประตู หรือเปลี่ยนฝ้าเพดานใหม่
ถ้าขนาดหรือวัสดุไม่ต่างจากเดิมมากนัก และไม่มีผลกับเสา-คาน ก็ทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
4. ขยายพื้นที่ชั้นล่างเล็กน้อย (ไม่เกิน 5 ตร.ม.)
ตัวอย่างเช่น ขยายห้องครัวหลังบ้านออกมาอีกนิด เพื่อวางเตาแก๊ส หรือทำเคาน์เตอร์
ทำได้ถ้าไม่ได้เพิ่มหรือลดจำนวนเสา หรือคานรองรับ
แต่ถ้าขยายมากกว่านี้ หรือมีการต่อเติมออกนอกแนวฐานรากเดิม ต้องขออนุญาตแน่นอนครับ
5. ต่อหลังคาหรือกันสาดเพิ่ม (ไม่เกิน 5 ตร.ม.)
เป็นงานที่เจ้าของบ้านนิยมมาก เช่น ต่อกันสาดหน้าบ้าน กันแดด กันฝน
เงื่อนไข คือ น้ำหนักรวมของหลังคา และโครงสร้างต้องไม่เกิน 10% ของของเดิม และต้องมั่นใจว่าไม่รบกวนพื้นที่เพื่อนบ้าน
เคล็ดลับเล็กๆ :
ควรใช้วัสดุน้ำหนักเบา เช่น แผ่นโพลีคาร์บอเนต หรือเมทัลชีท ไม่ควรใช้กระเบื้องคอนกรีต เพราะจะเพิ่มน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด
6. ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา
ในยุคที่คนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น กฎหมายอนุญาตให้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต ถ้าเข้าเงื่อนไขเหล่านี้
– พื้นที่ติดตั้งไม่เกิน 160 ตร.ม.
– น้ำหนักรวมไม่เกิน 20 กก./ตร.ม.
แต่ต้องมีวิศวกรตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้าง และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
ทำไมถึงต้องรู้เรื่องกฎหมายก่อนต่อเติม
หลายคนอาจมองว่ากฎหมายเหล่านี้ “ยุ่งยาก” แต่จริงๆ แล้วมันมีไว้เพื่อ ป้องกันความเสียหายระยะยาว
- ป้องกันการทรุดตัวของอาคารจากน้ำหนักเกิน
- ป้องกันปัญหาน้ำรั่วจากการต่อเติมผิดวิธี
- และที่สำคัญ ป้องกันปัญหากับเพื่อนบ้าน (เช่น การต่อกันสาดล้ำเขต หรือรบกวนทิศทางน้ำฝน)
ถ้ามีข้อสงสัย ควรปรึกษาวิศวกรหรือสถาปนิกก่อนทุกครั้ง แม้จะเป็นงานเล็กๆ ก็ตาม เพราะ “การวางแผนถูกตั้งแต่ต้น” จะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลาในระยะยาว
สรุป
ถ้าจะต่อเติมบ้าน แต่ยังไม่แน่ใจว่าต้องขออนุญาตหรือไม่
ลองถามตัวเองก่อนว่า “งานนี้กระทบโครงสร้างไหม?”
ถ้าคำตอบคือ ใช่ — ให้ปรึกษาวิศวกรก่อนเสมอ
แต่ถ้าเป็นเพียงการซ่อม เปลี่ยนวัสดุ หรือตกแต่งเล็กน้อยในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต ก็สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องยื่นแบบครับ
จำไว้ว่า การต่อเติมอย่างมีความรู้ ไม่ใช่แค่ถูกกฎหมาย จะช่วยให้ “บ้านของคุณปลอดภัย แข็งแรง และไม่กลายเป็นภาระในอนาคต”
ติดตามพวกเราได้อีกช่องทาง เพจ Facebook : Pyramid รับเหมาก่อสร้าง รับต่อเติม รับควบคุมงาน
อยากรู้จักเรา : เกี่ยวกับเรา